ดูเหมือนว่า Avatar: Fire and Ash อาจคุ้มค่ากับเวลาของคุณแล้ว
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา Avatar: Fire and Ash ได้เปิดฉายรอบสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก และถ้าดูจากกระแสตอบรับแล้ว ผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน คงเปิดแชมเปญฉลองได้เลย (อาจจะใต้น้ำด้วยซ้ำ) เพราะภาคที่สามนี้ได้รับเสียงชื่นชมไปไม่น้อย และหาก Fire and Ash สามารถทำรายได้ถล่มทลายเหมือนสองภาคก่อน คาเมรอนก็คงจะได้เปิดแชมเปญอีก… หลายขวด
หากคุณลืมไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในแฟรนไชส์ Avatar เรื่องราวนั้นติดตามชีวิตของ เจค ซัลลี่ (แซม เวิร์ธทิงตัน) อดีตนาวิกโยธินที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของเผ่านาวีบนดวงจันทร์แพนดอรา และอุทิศชีวิตเพื่อปกป้องดินแดนจากการรุกรานของมนุษย์ Avatar: The Way of Water ดำเนินเรื่องต่อหลายปีหลังจากภาคแรก โดยเจคและเนย์ติรี (โซอี ซัลดานา) ใช้ชีวิตเลี้ยงลูกในขณะที่มนุษย์กลับมาในจำนวนมากกว่าเดิม จนทำให้พวกเขาต้องลี้ภัยไปอยู่กับเผ่าทะเล ใน Fire and Ash เรื่องราวจะเจาะลึกความแตกแยกในแพนดอรามากขึ้น ผ่านการเปิดตัวเผ่านาวีสายไฟที่มีความเป็นศัตรูมากกว่าเดิม ผลักดันเรื่องราวไปสู่ความขัดแย้งทางศีลธรรมที่ซับซ้อนขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของดาวดวงนี้
คาเมรอนวางแผนทำภาคต่ออีกสองภาคหลังจากนี้ แต่ Fire and Ash จะเป็นบทสรุปของช่วงเรื่องราวส่วนนี้
“ผมไม่ได้มอง Fire and Ash เป็นแค่ภาคต่อ” คาเมรอนอธิบาย “ผมมองว่ามันคือบทสรุปของมหากาพย์ ผมชอบคำว่า ‘มหากาพย์’ มากกว่า ‘ภาคต่อ’ เพราะหลายอย่างที่เราเล่าในหนังภาคนี้ถูกวางโครงไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าคิดว่าภาคนี้คือองก์ที่สามของเรื่อง มันจะเข้าใจง่ายขึ้น มันเป็นเกมระยะยาว และผมก็รู้มาตั้งแต่แรกว่าเรากำลังเล่นเกมระยะยาว พร้อมเดิมพันว่าผู้ชมจะติดตามและใส่ใจกับตัวละครเหล่านี้ เพราะถึงพวกเขาจะสูงสิบฟุตและเป็นสีฟ้า แต่พวกเขาก็คือ ‘คน’”
นักวิจารณ์หลายคนกล่าวถึง Fire and Ash ในเชิงบวก โดยเรียกว่ามันเป็น “งานชิ้นเด็ด” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวใน “สเกลมหาศาล” พร้อมชมภาพวิชวลว่า “น่าทึ่ง” และประกาศว่านี่อาจเป็น Avatar ที่ดีที่สุด แต่ก็มีบางเสียงที่ไม่ค่อยประทับใจนัก โดยมองว่ามัน “เยอะเกินไป,” “ไร้จุดหมาย,” และ “น่าเบื่อซ้ำซาก”
Avatar: Fire and Ash มีกำหนดฉายวันที่ 19 ธันวาคม
