รีวิวซีรีส์เกาหลี Netflix The Price of Confession: จอนโดยอน – คิมโกอึน ถ่ายทอดความพรีเมียมในเรื่องราวสุดเข้มข้นแบบ “พัลพ์ดราม่า”

รีวิวซีรีส์เกาหลี Netflix The Price of Confession: จอนโดยอน – คิมโกอึน ถ่ายทอดความพรีเมียมในเรื่องราวสุดเข้มข้นแบบ “พัลพ์ดราม่า”

3.5/5 คะแนน

นักแสดงนำ: จอนโดยอน, คิมโกอึน, พัคแฮซู

นักแสดงหญิงระดับแถวหน้าของเกาหลีอย่าง จอนโดยอน (Crash Course in Romance) และ คิมโกอึน (You and Everything Else) มาปะทะกันในซีรีส์ทริลเลอร์สุดเข้มข้น “The Price of Confession” ซีรีส์สืบสวนคดีฆาตกรรมที่ผสานกลิ่นอายงานคุณภาพและความจัดจ้านแบบเพลย์กราวด์ เต็มไปด้วยจังหวะหักมุมมากมาย

การแสดงอันทรงพลังประกอบกับบทที่เฉียบคมโดย ควอนจงกวาน — ผู้กำกับ Sad Movie และ Proof of Innocence — ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดูได้แบบเพลินๆ แม้ผู้ชมต้องใช้ความอดทนพอสมควรเพื่อผ่านครึ่งแรกที่ช้าและพอเดาได้ ก่อนจะเข้าสู่ครึ่งหลังที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นและเซอร์ไพรส์หนักๆ

จอนโดยอน รับบท อันยอนซู ครูสอนศิลปะอารมณ์ดี ภรรยาของจิตรกร และแม่ของลูกสาวตัวน้อย ชีวิตที่ดูสมบูรณ์แบบของเธอพังทลายลงในค่ำคืนหนึ่งเมื่อเธอพบว่าสามีถูกแทงในสตูดิโอ เขาเสียชีวิตในอ้อมแขนของเธอ ทำให้เธอรับมือกับความสูญเสียอย่างหนัก

หลังพิธีศพของสามี ชีวิตอันมืดหม่นของเธอเริ่มต้นขึ้น เมื่อเธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งในคดีฆาตกรรมนี้

เมื่อหลักฐานเริ่มมัดตัวมากขึ้น เธอถูกส่งตัวเข้าคุกระหว่างรอการพิจารณาคดี ที่นั่นเธอได้พบกับนักโทษชื่อ โมอึน (คิมโกอึน) ซึ่งกำลังรอขึ้นศาลจากคดีวางยาพิษคู่รักเศรษฐีและอยู่ในที่เกิดเหตุ จนถูกขนานนามว่า “แม่มด”

โมอึนยื่นข้อเสนออันตรายให้ยอนซู เธอจะยอมรับผิดแทนในคดีฆาตกรรมสามีของยอนซู — เนื่องจากเธอรับสารภาพคดีอื่นไปแล้ว — โดยมีเงื่อนไขบางอย่างที่แลกมาด้วยราคาหนักหนา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรื่อง

ผู้ที่ตามไล่ล่ายอนซูคือ แบ็กดงฮุน (พัคแฮซู จาก Squid Game S1) อดีตตำรวจที่ผันตัวมาเป็นอัยการ เขาหมกมุ่นกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากโมอึนรับสารภาพ ซึ่งเขาไม่เคยเชื่อเลยสักครั้ง

ผู้ที่เข้ามาช่วยยอนซูคือทนายคนใหม่ผู้ใจดีและมีอุดมคติ จางจองกู (จินซอนกยู, Aema) ตัวละครทั้งหมดนี้ทำให้เรื่องราวขยายกว้างขึ้นหลังยอนซูได้รับการประกันตัว

จอนโดยอนถ่ายทอดบทบาทแม่และภรรยาที่ชีวิตพลิกผันได้อย่างทรงพลัง แม้ดงฮุนจะเชื่อว่าเธอมีความผิด แต่ซีรีส์ไม่ได้เน้นหลอกล่อคนดูมากนัก

แม้เราจะรู้สึกว่าเธอไม่น่าฆ่าสามี แต่ความตึงเครียดของเรื่องมาจากสภาพแวดล้อมใหม่ของเธอ และความสัมพันธ์กับโมอึน ที่อาจทำให้หลักศีลธรรมของเธอสั่นคลอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอต้องปกป้องลูกสาวคนเดียวของเธอ

ตัวละครที่คลุมเครือที่สุดคือ โมอึน ผู้ฉลาด เจ้าเล่ห์ และดูเหมือนไม่มีความเสถียรทางอารมณ์ บทนี้เป็นพื้นที่ให้คิมโกอึนโชว์พลังการแสดงแบบรอบด้าน แม้จุดพลิกผันบางอย่างของตัวละครจะดูถูกสร้างขึ้นเพื่อเนื้อเรื่องมากเกินไป ทำให้ขาดความลุ่มลึกแบบงานอื่นๆ ของเธอ (เช่น Love in the Big City) แต่ก็ยังคงเป็นการแสดงที่น่าตรึงตา

ความสัมพันธ์ที่ผันผวนและซับซ้อนระหว่างผู้หญิงสองคนที่แตกต่างกันมากนี้คือเสน่ห์สำคัญของเรื่อง และซีรีส์ยังเสิร์ฟธีมอื่นๆ เพิ่มเติม

หนึ่งในนั้นคือ “สื่อมวลชน” ที่รุมตอมยอนซูและโมอึน ซึ่งสร้างความกดดันมหาศาลให้กับทนายและอัยการที่ทำคดี

ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับความสนใจตั้งแต่ก่อนเริ่มถ่ายทำ ทั้งจากบทที่ถูกพูดถึงอย่างมาก รวมถึงดราม่าการคัดเลือกนักแสดง ผู้กำกับ อีอึงบก (Sweet Home) และนักแสดง ซงฮเยคโย (The Glory) และ ฮันโซฮี (My Name) เคยถูกวางตัวให้ร่วมงาน แต่ทั้งหมดถอนตัวออกไปจากปัญหาตารางงานและความเห็นไม่ตรงกัน

แต่เมื่อดูเวอร์ชันที่ออกฉายจริงแล้ว ก็ยากจะจินตนาการได้ว่าซีรีส์นี้จะเป็นอย่างไรหากไม่มี จอนโดยอน และ คิมโกอึน ที่ช่วยยกระดับเรื่องราว ซึ่งบางครั้งแทบจะกลายเป็นงานแนวเพลย์กราวด์มากกว่าทริลเลอร์จิตวิทยาแบบเคร่งเครียด

ส่วนงานกำกับของ อีจองฮโย (Crash Landing on You) ที่เข้ามารับช่วงต่อ แม้จะเรียบลื่นและดูดี แต่ซีรีส์ก็ไม่ได้โดดเด่นด้านสไตล์ตลอดเวลา โทนและจังหวะมีขึ้นลง บางช่วงที่กระชับแบบงานสืบสวน กลับถูกสอดแทรกด้วยฉากดราม่าฟุ้งๆ ที่ทำหน้าที่คล้ายยาเติมเวลา

แม้การหักมุมบางช่วงจะไม่ได้เฉียบคม แต่ก็ถือเป็นราคาที่ต้องแลกกับซีรีส์ที่มีพล็อตอัดแน่นอย่าง “The Price of Confession” ซึ่งอาจพีคเร็วไปเล็กน้อย แต่ยังคงตรึงผู้ชมตั้งแต่ต้นจนจบ

“The Price of Confession” สามารถรับชมได้แล้วทาง Netflix